Thursday, June 28, 2007

ส้ม

เขายังอยู่ในท่านอนตะแคง เพ่งมองส้มลูกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตั้งโคมไฟข้างเตียงนอน เขายังไม่อยากเอามือไปแตะต้องมัน เพียงแต่ใช้สายตาเพ่งมองอยู่อย่างนั้น เพ่งมองจนราวกับว่าส้มลูกนั้นกำลังกลิ้งไปกลิ้งมา พลิกหน้าพลิกหลังให้สำรวจดูผิวเปลือกกลมๆ ของมันจนถ้วนทั่ว เขาใช้สายตาคลึงส้มผลนั้นเล่นอยู่อย่างนั้น…

...พลิกตัวกลับหันมองข้างกาย เธอยังนอนหลับอยู่ข้างๆ เหมือนคนตาย นอนนิ่งและหลับลึก เขาสงสัยว่าเธอยังหายใจอยู่หรือเปล่า เขาอยากเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของเธอ แต่กลัวจะเป็นการปลุกเธอให้ตื่น หรือถ้าหากเธอตายจริงๆ จะมีประโยชน์อะไรกับการเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของเธอ จะมีประโยชน์อันใดกับการปลุกเธอให้ตื่น เราปลุกคนตายให้ตื่นขึ้นมาได้หรือ เธอตายหรือเปล่านั้น ไม่สำคัญเท่ากับหากเธอยังหลับอยู่ เขาจะไม่รบกวน เธออาจกำลังมีความสุขอยู่กับความฝัน ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากรู้อยากเห็นกระทั่งว่าเธอกำลังฝันถึงอะไรอยู่ ถ้าเธอฝันดี เขาจะปล่อยให้เธอดื่มด่ำอยู่กับความฝันนั้น แต่ถ้าเธอฝันร้าย เขาจะรีบปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา แล้วปลอบโยนเธอว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร มันเป็นเพียงความฝัน เขายังเฝ้ามองเธอยู่อย่างนั้น เขาชอบมองเวลาที่เธอหลับ เวลาเธอหลับเธอเหมือนผู้หญิงที่อยู่ในภาพวาด (ที่ดูยังไงก็ดูไม่ออกว่า เธอกำลังหลับหรือตาย) เธอเหมือนภาพวาดมากกว่าที่จะเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ หญิงสามัญที่เป็นทั้งหมดทั้งมวลของความฝันและความหวัง เธอคือแรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ของเขา...

นกน้อยตัวสีส้มบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ข้างหน้าต่างห้องนอน เสียงใสๆ ของมันล่องลอยอยู่ในลมเช้าอันสดชื่น

เช้านี้ ช่างเหมือนสวรรค์ที่เขาเคยรู้สึกตลอดเวลาว่ามันไม่มีอยู่จริง

“มันไม่ได้ขี้โม้นะ มันร้องเพลงต่างหาก” เธอลืมตาตื่นขึ้นมาปกป้องเจ้านกน้อยตัวนั้นทันที “แล้ว... มันก็ไม่ได้ร้องหาสวรรค์วิมานด้วย!” เธอหันมาทำตาขวาง เวลาเธอโกรธนิดๆ เธอดูน่ารักมาก
เธอหันกลับไปนอนท่าเดิม ส่งสายตาหยาดเยิ้มเคลิ้มฝันไปทางเจ้านกน้อยสีส้มตัวนั้น เสียงของมันหวานไหวไพเราะจับใจเหลือเกิน

“อย่ามาเสแสร้งเลย” แน่ะ! เธอยังไม่หายโกรธนิดๆ อีก แทนคำพูดเขาดึงเธอเข้ามาโอบกอด แทนคำขอโทษ เขาจูบที่หน้าผากของเธอ และแทนความรู้สึกบางอย่าง...

เธอหลับตาเคลิ้ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มปริ่มสุข

“น้าอย่าแกล้งมันอีกนะ” เสียงของเธอหวานไหวไพเราะจับใจเหลือเกิน เหมือนเสียงที่สะท้อนอยู่ในความฝัน เจ้านกน้อยยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่อย่างนั้น เขาให้สัญญาว่าจะไม่กลั่นแกล้งเจ้านกน้อยตัวนั้นอีก

“น้าว่ามั้ย” เธอเอ่ยขึ้นลอยๆ ค่อยๆ ลืมตาโดยไม่ได้หันมามองเขา “เจ้านกน้อยอาจกำลังร้องหาคู่ของมันอยู่ก็ได้”
เขามองไปที่เจ้านกน้อยตัวนั้น พลันรู้สึกหดหู่อยู่ในหัวใจ สวรรค์ที่เขาเฝ้าประคับประคองไว้กำลังมลาย เขาหลับตา ข่มกลั้นความรู้สึกหดหู่นั้นไว้…
“คู่ของมันอยู่ไหนละน้า” คล้ายเสียงของเธอแว่วมาจากที่ที่ไกลแสนไกล

เขาค่อยๆ ลืมตา…

“คู่ของมันอยู่ไหนละน้า” เธอถามพร้อมกับหันมามองหน้าเขา แล้วหันกลับไปมองเจ้านกน้อยตัวนั้น

เขาไม่ได้ยินกระทั่งคำตอบของตัวเอง มันเบาจนเงียบ และเหมือนกำลังพูดอยู่ในใจมากกว่า

“นั้นสินะ” เธอว่า “สักวันมันจะได้เจอคู่ของมันอย่างที่น้าว่าจริงๆ นั่นแหละ” เธอหันมาสบตากับเขา ลมเช้าโลมเล่นอยู่กับปอยผมตรงข้ามขมับ มันเย็นจนเธอกระชับอ้อมกอดของเขาเข้ามาอีก

“มันคงเป็นผู้ชายนะน้า ดูสิ ดูจากสีของมัน” เธอเอียงคอนิดๆ เพ่งสายตาไปที่เจ้านกน้อยตัวนั้นอย่างพินิจพิจารณา เธอเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเบาๆ เธอกำลังครุ่นคิด…

“น่าสงสาร... มันคงเหงา” เธอหันมาจ้องมองเขาด้วยแววตารันทดระคนสมเพช เขาเบือนหน้าหนี ค่อยๆ คลายอ้อมกอด เธอรวบรั้งร่างเขาเอาไว้ จับให้นอนหงาย แล้วโถมกายขึ้นนั่งคร่อม

“โกรธเหรอ” เธอถาม แต่ไม่เปิดโอกาสให้ตอบ เธอพูดต่อ “เราชอบเวลาน้าโกรธ น่ารักดี” อารมณ์เธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ความรู้สึกพาไปอย่างเป็นธรรมชาติ จากหวานเธอจะกลายเป็นเปรี้ยว ถ้าเป็นผลไม้เธอจะชื่อว่า...

‘ส้ม’

เขาเบือนสายตาจ้องจับไปที่หน้าต่าง เจ้านกน้อยตัวนั้นหายไปแล้ว...
“น้าทำให้มันตกใจ มันบินหนีไปแล้ว น้าต้องรับผิดชอบ!” ดวงตาเธอคล้ายกำลังเหม่อมองตามรอยปีกของเจ้านกน้อยตัวนั้นไป...

“อะไรนะ...ไอ้บ้า! ว่าเราหรอ”แล้วเธอก็ออกแรงขย่มเขย่าตัวเขาราวกำลังควบขับอาชา เขาจับเธอพลิกลงไปนอนหงาย แล้วโถมกายคร่อมกอดเธอไว้ เธอแน่นิ่ง และยอมจำนน…

“ก็น้าว่าเราเป็น ‘นางนกต่อ’ ทำไมล่ะ”

เธอพยายามแก้ตัว แต่เขาพยายามปลดกระดุมชุดนอนของเธอ

“ปล่อยนะ ปล่อยก่อน เราจะไปฉี่” เธอส่งสายตาอ้อนวอน

ลุกขึ้น เดินไปเข้าห้องน้ำ พอมือจับลูกบิดประตูห้องน้ำได้ เธอเบี่ยงตัวหันมาส่งยิ้มหยาดเยิ้มยั่วยวนทันที เขาลุกขึ้น พุ่งปราดไปยังเป้าหมาย แต่ช้าเกินไป เธอปิดประตู ปัง! แล้วเสียงหัวเราะเยาะหยันอย่างผู้ชนะก็ตามมา เขาส่ายหัว อมยิ้มแบบ... ฝากไว้ก่อนเถอะ นังตัวดี!

ฟ้าครึ้ม ฝนพรำละอองปลิวปราย เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองฝ่าม่านละอองฝนออกไปยังเบื้องหน้า เขารู้สึกถึงเช้าที่สงบ เป็นเช้าที่งดงาม เขาอยากให้เธอมายืนอยู่ข้างๆ เธอมัวทำอะไรอยู่นะ ทำไมเธอไม่มาสักที เขารู้สึกเหมือนเธอช่างอยู่ไกลแสนไกล เธออยู่ไหนนะ เธออยู่ไหน เขาคิดถึงเธอเหลือเกิน...

เขายังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองฝ่าม่านละอองฝนออกไปยังเบื้องหน้า ผู้หญิงคนหนึ่งเดินกางร่มสีส้มไกลออกไป...ไกลออกไป เขากะพริบตา เพ่งมองอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา เธอเดินผ่านพุ่มไม้เตี้ยๆ ย่ำบนผืนหญ้า ตัดเข้าสู่ถนนดินชื้นแฉะ ผ่านซุ้มโมก ซึ่งสัมผัสจากเรือนร่างของเธอทำให้ดอกสีขาวเล็กๆ ของมันร่วงกระจาย ใกล้เข้ามา... ใกล้เข้ามา หยุดอยู่ตรงเบื้องหน้า เบี่ยงร่มสีส้มเอนไปทางด้านหลัง เงยหน้าขึ้น ยิ้มให้เขา ในจังหวะเดียวกับที่ดอกโมกสีขาวเล็กๆ ที่ติดอยู่ตรงปลายเส้นผมอันยาวสยายร่วงลิ่วลงสู่พื้น เธอเปล่งถ้อยคำออกมาเป็นเสียงกระซิบ “คิดถึงเราอยู่เหรอ... น้า!...”

เขาสะดุ้งตกใจ ขนลุก ร่างเปลือยเปล่าของเธอสวมกอดเขา สองเต้าเต่งเบียดแนบอยู่กับแผ่นหลัง ใบหน้าซบอยู่กับไหล่ เขากะพริบตา เพ่งมองฝ่าม่านละอองฝนออกไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นกับร่มของเธอกลายเป็นเพียงจุดแต้มเล็กๆ สีส้ม เต้นระริกอยู่ไกลจนเกือบสุดสายตา…

เขาดึงตัวเธอให้แนบชิดยิ่งขึ้น ซึมซับเอาความอบอุ่นละมุนละไม ให้มันอยู่กับเขาไปชั่วนิรันดร์

สิ่งที่โลกไม่เคยมอบให้ แต่จะมาพรากไปจากเขา

ฝนพรำบางเบา เจ้านกน้อยสีส้มตัวนั้นกลับมาส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนเดิม เขาและเธอนอนเปลือยกายสวมกอดกันอยู่บนเตียง ปากพร่ำพรมจูบกันดูดดื่ม เธอบอกว่ารู้สึกเหมือนตัวเองกลับกลายเป็นทารก เขาก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วทารกสองคนก็ร่วมรักกันอย่างสุขสมกลมเกลียว เขาได้กลิ่นหอมพรหมจรรย์ลอยอยู่ตลบอบอวล กระทั่งเขาและเธอเคลิ้มหลับไป

...เขายังอยู่ในท่านอนตะแคง เพ่งมองอยู่ที่ส้มลูกนั้น ไม่รู้ว่าเขาเพ่งมองอยู่นานเท่าไหร่แล้ว เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบ...

ส้มลูกนั้นพลันหายไป!

พลิกตัวกลับหันมองข้างกาย เขาพบเพียงไอ้สิงห์ แมวขี้เกียจกำลังนอนหาว มองไปที่หน้าต่าง ตะกวดตัวเขื่องกำลังตะกายอยู่บนต้นมะพร้าวยอดด้วน เขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ตัดสินใจลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำ… ออกจากห้องน้ำ แต่งตัว...

บางที (เขาบอกตัวเอง) เขาอาจเจอเธอระหว่างทาง อาจเป็นที่ป้ายรถเมล์ ท่าเรือ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือเขาอาจไม่เจอเธอเลย สักคน บนโลกใบนี้ แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะขากลับเขาต้องแวะซื้อส้มที่ตลาดอย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยๆ เขาก็มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมา

ข้างนอกแดดเปรี้ยง ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก แต่เขารู้ว่า ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งนั้น ฝนกำลังพรำละอองปลิวปราย

เขาเดินไปหยิบร่มสีส้มที่ข้างประตู แล้วเดินออกไป...


*ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่องสั้น ‘หิมะกัด ส้ม ผมลิขิต’