Thursday, November 8, 2007

BLUR

(ภาพฝันเลือนรางข้างถนน)

หากมีสักคืนที่คุณเดินตรงมาจากสี่แยกบางลำพู (แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกเดินฝั่งซ้ายหรือขวาของถนน เอาเป็นว่า คุณเลือกฝั่งซ้าย ก็แล้วกัน) คุณเดินตรงมาเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จากสี่แยกบางลำพูมาไม่ไกล คุณจะพบฝั่งทางขวามือของคุณเป็นซอย แต่คนแถวนั้นเขาเรียกว่า ตรอกโรงไหม ภายในตรอกนั้นมีเกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ผับ บาร์สารพัด ผู้คนจะแน่นขนัดในคืนวันศุกร์ ยิ่งคืนวันศุกร์ช่วงสิ้นเดือนด้วยแล้ว คุณลองหลับตานึกถึงแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีในห้วงยามเช่นนี้ ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน แต่ที่นี่อัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่ถ้าคุณนึกไม่ออก คุณลองหลับตานึกอีกครั้ง... มันคือความรื่นรมย์ยามราตรีที่ล้นออกมาจากถนนข้าวสาร

ตรอกโรงไหมเป็นทางที่ทอดทะลุไปถึงถนนพระอาทิตย์ แต่คืนนี้คุณไม่อยากไปที่ถนนพระอาทิตย์ เหตุผลนั้นหรือ ช่างคุณเถอะ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ คุณแค่อยากแวะเที่ยวชมบรรยากาศ และที่นี่คุณเห็นเด็กหญิงสองคนเดินเคียงคู่กันขายดอกไม้ และตามหลังมาไม่ห่างคือกลุ่มเด็กชายเด็กหญิงที่กระจายกันเร่ขายของตามร้านรวงต่าง ๆ คุณเห็นวนิพกชราสองผัวเมียเร่ขายเสียงเพลงแลกเศษเงิน คุณนิ่งสดับเสียงเพลงโหยเศร้านั้นจนลืมหยอดเศษเหรียญลงในขันอันบุบบี้ของพวกเขา เสียงเพลงอันบาดลึกนี้กระชากคุณให้วิ่งตามวนิพกชราสองผัวเมียนั้นไป คุณหย่อนเงินลงในขันอันบุบบี้ใบนั้น จำนวนเงินไม่มาก แต่ก็ไม่น่าจะน้อยเกินไปสำหรับวนิพกตายาย สองคน

วนิพกตายายหายลับไปกับแสงสีและฝูงคน แต่เสียงเพลงของพวกเขาเหมือนไม่สร่างความเศร้าไปจากใจ คุณยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด ก้มหน้า สบตากับหมาข้างถนนตัวหนึ่ง มันก็คือหมาจรจัดนั่นแหละ เสียดายที่คุณคุยกับหมาไม่รู้เรื่อง ไม่งั้นคุณคงมีคำถามที่ต้องถามมัน แต่คิดดูอีกที หมาข้างถนนมันอาจไม่อยากวิสาสะกับคุณก็เป็นได้ แต่พลันเมื่อคุณสบตากับมันอีกครั้ง คุณบอกตัวเองได้ทันทีเลยว่า มันก็คือหมาเศร้าตัวหนึ่ง เท่านั้น

คุณเดินเลาะเลียบไปตามรั้วกำแพงวัดชนะสงครามเพื่อจะกลับออกไปสู่ปากตรอก คุณเอามือระไล่ไปตามกำแพงซีเมนต์ของวัด คุณรู้สึกได้ในสัมผัสนั้นว่า กำแพงมิอาจกั้น แต่มันเป็นเพียง การขีดเส้น เพราะข้าง ๆ รั้วกำแพงวัดนั้น ราตรีกำลังเริงระบำ คุณเริ่มสับสนระหว่างกิเลสตัณหากับการปล่อยวาง หรือว่าสองสิ่งนี้ต่างก็เป็นฉากม่านของกันและกัน

คำถามนั้นเริ่มนอนนิ่งสงบในใจ ขณะเท้าของคุณก้าวไปจนถึงปากตรอก คุณเลี้ยวขวา แต่เท้าของคุณต้องหยุดชะงักลง คุณมองเห็นหญิงยิปซีและหมาของนางนอนสลบไสลอย่างอ่อนล้า ราวกับว่าหญิงยิปซีและฝูงหมาของนางเดินทางมาจากดินแดนอันไกลแสนไกล เนื้อตัวของนางสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายาวเลื้อยรุงรัง ผ้าถุงและเสื้อที่นางสวมใส คุณไม่อาจแยกแยะสีสันและรูปทรงได้ รถเข็นเก่า ๆ ที่นางใช้ขนสัมภาระถูกห่อคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่เก่าขาดและปุปอน สัมภาระนั้นมันเกินกว่าที่คุณจะคิดและจินตนาการได้ว่าเป็นสิ่งของชนิดใด คุณจนปัญญาและนางไม่เปิดโอกาสให้คุณแม้แต่จะเดา ยิ่งการที่จะเดินเข้าไปพูดคุยกับนางด้วยแล้ว คุณเลิกคิดได้เลย ฝูงหมาราว ๆ 7-8 ตัว ห้อมล้อมระวังภัยให้เจ้านายของมันอยู่ เสียงครางฮือฮือในลำคอ และการแสยะเขี้ยวอย่างดุร้าย นั่นก็ทำให้คุณสยองขวัญแล้ว นางมาจากสถานที่ใดกันแน่นะ นางมาจากอดีตกาลหรืออนาคต หรือว่านางอยู่ที่นี่มาแล้วชั่วนิรันดร์ และนั่นเองที่ทำให้คุณเรียกนางว่า หญิงยิปซีและหมาของนาง

คุณก้าวเท้าเดินต่อไป ด้วยสภาพจิตที่ยังไม่สิ้นสงสัย ถ้าคุณไม่มีบุคลิก นิสัย หรือสันดานเดินก้มมองตีนตัวเองแล้วละก็ คุณเป็นต้องเดินเหยียบหัวเด็กชายคนหนึ่งที่นอนหลับอุตุอยู่ริมฟุตปาธนั้นเป็นแน่ ข้าง ๆ กายของเด็กชายมีขันพลาสติกใบหนึ่งรองรับเศษสตางค์จากผู้ใจบุญที่เดินผ่านไปมา และที่อิงแอบอยู่แนบข้างขันใบนั้นก็คือแผ่นกระดาษที่เขียนข้อความภาษาอังกฤษขึ้นต้นด้วยคำว่า Please…และถัดจากร่างอันหลับใหลของเด็กชายนั้นเป็นที่สุมรวมของถังขยะอันอุดมไปดวยปฏิกูลนานาชนิด และถัดจากขยะเหล่านั้นไปเป็นที่หลับนอนของชายขาขาดและเมียของเขา ชายขาขาดกำลังนั่งกรอกเหล้าขาวเข้าปากพร้อมกับบ่นสบถคำหยาบคายอยู่มิได้ขาด ส่วนเมียของเขานั้นนั่งอัดควันบุหรี่ด้วยอาการทอดถอนใจ

คุณเดินผ่านสองผัวเมียนั้นจนมาถึงประตูวัดชนะสงคราม ประตูที่เป็นทางออกของรถที่เข้าไปอาศัยจอดในวัด คุณไม่รู้หรอกว่าเขาเสียค่าจอดกันเท่าไหร่ เพราะคุณไม่เคยเอารถเข้าไปจอดข้างในนั้น พูดให้ถูกก็คือคุณไม่มีรถยนต์ที่จะเอาไปจอด และยังไม่รู้เลยว่าชาตินี้คุณจะมีรถยนต์ให้เอาไปจอดกับเขาหรือเปล่า แต่ก็ช่างหัวคุณเถอะ คุณอย่าไปสนใจคุณเลย !

คุณแวะเข้าไปในตู้โทรศัพท์ โทรไปจู๋จี๋กับหญิงสาวคนที่คุณบอกว่ารักเธอปานจะกลืนกิน และคืนนี้คุณก็ถือโอกาสนัดพบกับเธอที่ถนนข้าวสาร ในร้านที่คุณกับเธอพบกันครั้งแรก-รักแรกพบ

คุณเดินผ่านแผงขายภาพลายไทยของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง คุณได้ยินเขาพูดกับฝรั่งเป็นภาษาอังกฤษแปลเป็นไทยแบบตามใจคุณความว่า “เชิญเข้ามาชมก่อนครับ ไม่ซื้อผมไม่ว่า” อะไรทำนองนั้น แต่คุณไม่ยักจะเห็นฝรั่งหน้าไหนควักเศษสตางค์ซื้อภาพลายไทยของชายวัยกลางคนคนนั้นเลย โอวว... ช่างหัวชายวัยกลางคนที่เป็นคนไทยคนนั้นเถอะ ... แล้วคุณก็เดินต่อไป แล้วคุณก็มาหยุดอยู่หน้าวัด ในช่วงบริเวณที่อยู่ตรงข้ามกับ สน.ชนะสงคราม คุณมองเข้าไปในวัดโดยไม่รู้สึกอะไร คุณมองเข้าไปในสน.ชนะสงครามโดยที่ไม่ได้อยากดูอะไร แต่ - คุณเห็นหญิงสาวหลายคนแต่งตัววับ ๆ แวม ๆ แต่งหน้าทาปากซะเปรี้ยวจี๊ด ทั้งยืน ทั้งนั่ง รวมกลุ่มกันอยู่บริเวณทางเท้าหน้า สน.ชนะสงคราม พวกหล่อน ๆ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วแววไว แต่คุณก็ไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่าสิ่งที่ตาคุณเห็น-ชุมนุมนม

...คุณยืนหันรีหันขวาง มองข้ามหัวขอทานคนหนึ่งไปจนไม่เห็นว่าเขาหมอบกราบกรานอยู่แทบบาทา ฝรั่งหลงทางคนหนึ่งแบกเป้เดินสะเปะสะปะเข้ามาสอบถามอะไรบางอย่างจากคุณที่คุณฟังเท่าไหร่ก็จับใจความได้ว่า “จับประหลาดีวะ? จับประหลาดีวะ?” คุณไม่รู้ว่าหมอนี่มันพูดภาษาคนหรือเปล่า คุณเห็นแต่เครื่องหมายคำถามในดวงตาของมัน คุณชี้นิ้วบอกให้หมอเข้าไปใน สน.ชนะสงคราม ซึ่งในสน.น่าจะมีแผนกให้บริการสอบถามเส้นทางแก่ชาวต่างชาติ อย่ามาฝากความหวังไว้กับคนอย่างคุณที่ภาษาอังกฤษคุณรู้จักและกระดิกแค่คำว่า ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (จะฟาดแข้งกันวันไหน) และถ้าคุณมีแฟนเป็นสาวอังกฤษป่านนี้เธอคงกลับถึงลอนดอนโดยสวัสดิภาพแล้ว

จับประหลาดีวะ...จับประหลาดีวะ...คุณทำปากขมุบขมิบและท่องทวนย้ำคำนี้อยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จับประหลาดีวะ...จับประหลาดีวะ... คุณพยายามคิดให้ออก คุณก็เป็นเสียอย่างนี้ละ ลองได้สงสัยและมีอะไรมาสะกิดให้ได้คิดละก็ คุณก็จะดันทุรังคิดมันอยู่อย่างนั่นล่ะ ย้ำคิดย้ำทำมันอยู่นั่น คิดจนสมองจะระเบิด ก็คิดไม่ออก และคุณไม่เป็นอันทำอะไร คุณต้องคิดให้ออกก่อน จะทำอะไรค่อยว่ากันทีหลัง มันพูดอะไรของมันนะ จับประหลาดีวะ...จับประหลาดีวะ...คุณเดินท่องคำคำนี้มาจนจวนจะถึงสนามหลวง จับประหลาดีวะ...จับประหลาดีวะ... ไอ้หอกหักนั่นมันจะไปจับปลาห่าเหวที่ไหนวะ !! คุณตะโกนออกมาจนสุดเสียงจนทำให้คนที่เดินอยู่ใกล้ ๆ ตกใจผวาไปตาม ๆ กัน เอ้อ! ใช่สิ! แล้วคุณก็กระซิบกับตัวเองเบา ๆ ออกท่าทางเหมือนคนฉลาดหลักแหลมเสียเต็มประดา จับประหลา จับลา จับปลา หรือว่าจะเป็น... เจ้าพระยา!!! ใช่แล้ว และมันก็ต้องเป็น เจ้าพระยาริเวอร์!เจ้าพระยาริเวอร์ซะด้วยสิ คุณหันหลังขวับ! ใจนั้นกระโจนกลับไปหาเจ้าฝรั่งคนนั้น เจ้าพระยาริเวอร์ คุณต้องกลับไปให้ความกระจ่างแก่ฝรั่งตาน้ำข้าวคนนั้น แต่ก็สายไปเสียแล้ว คุณมาไกลเหลือเกิน...

คุณกลับมาถึงห้องพักด้วยความอ่อนล้า คุณไปกัดกับหมาที่ไหนมาวะเนี่ย คุณก้มมองสำรวจดูสารรูปตัวเอง และในวินาทีนั้นคุณนึกขึ้นได้ว่า คุณลืมขอทานคนนั้นไปเสียสนิท และคลับคล้ายคลับคลาว่า คุณลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญไป แล้วคุณก็เริ่มคิด... คิด...

Thursday, July 12, 2007

หน้าต่างสายฝน... ตะกร้าหวาย ดอกไม้ และใบเฟิร์น




มองฝนที่พรมพราย ด้วยสายตาพร่าเลือน บางสิ่งย้ำเตือน ในบ้านหลังเก่า ...

ท่อนแรกของเพลง ตะกร้าหวาย – ดอกไม้ – ใบเฟิร์น /BASKET-FLOWERS-FERNS อัลบั้ม การเดินทางของ “ตะกร้า” (The Journey of Basket) ของ รังสรรค์ ราศี-ดิบ การันตีด้วย 2 รางวัลสีสันอะวอร์ด ครั้งที่ 14 (SEASON AWARDS 2001) จากอัลบั้มยอดเยี่ยม (Best New Artist of The Year)

เพราะนึกถึงใครบางคน กับสายฝนนอกหน้าต่าง จึงทำให้คุณต้องค่อยๆ เอื้อมมือล้วงเข้าไปหยิบแผ่นเพลงนี้ (ต้องค่อยๆ ล้วงเข้าไป เพราะข้างในนั้นมีแต่สิ่งเปราะบาง) ในซอกมุมที่อยู่ลึกที่สุด เอาออกมาปัดฝุ่นและเปิดฟังอีกครั้ง

บางความทรงจำ คุณพบว่า มันยังคงชัดเจนอยู่เสมอ

บางครั้ง กับบางคำถาม และใครบางคนที่เขาห่วงใยคุณ ว่า... “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า เล่าให้ฟังได้ไหม” ต่อคำถามของใครคนนั้น บางครั้ง เพลงบางเพลงคล้ายตอบแทนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่คุณมี และบางที คำตอบของคุณมีเพียงสายลมหวีดหวิว...

ยิ่งนานยิ่งเหงา สำเนียงเสียงฟ้ากระหน่ำ ตะกร้าหวายย้ำให้ย้อนคิดถึงเรื่องราว...

เนื้อร้องอันหวานเศร้าราวบทกวีของเพลง ตะกร้าหวาย – ดอกไม้ – ใบเฟิร์น คือสัมผัสอันพลิ้วไหว แผ่วหวาน ของลำธารสายเล็กๆ ที่กำลังรินละล่องไหลผ่านวิญญาณของคุณ... คุณหลับตา และราวกับว่าคุณกำลังเคลิ้มไปกับลำธารสายเหงานั้น ด้วยอาการกึ่งฝันกึ่งตาย...

นี่มันเป็นจินตนาการหรือความทรงจำกันแน่นะ

เมื่อนานมาแล้ว ที่แนวริมหน้าต่างนั่น ใบเฟิร์นเหล่านั้น เสียบซ้อนไม้งามกลิ่นหอม พร้อมหยาดเม็ดฝน หยดน้ำเกาะพรมประกาย มีสายสัมพันธ์งดงามของคนสองคน...

ความทรงจำยิ่งงดงามเพียงใด มันยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้คุณเพียงนั้น

บทเพลงกำลังนำคุณเข้าไปสู่ดินแดนของความทรงจำ คุณไม่รู้ทางออก ไม่เห็นทางออก และไม่สนใจว่ามันจะมีทางออกหรือไม่ คุณอยากมีชีวิตอยู่ในนั้น เป็นพระราชาของอาณาจักรแห่งความทรงจำ แต่ฉับพลัน! ความเจ็บปวดรวดร้าวไม่รู้มาจากไหน มันแล่นเสียดลึกเข้าสู่ขั้วหัวใจ ราวไฟพิษ พร้อมกับเกิดคำถามประดังถั่งโถมตามมาว่า แท้จริงแล้ว ความจริงหรือความทรงจำกันแน่ที่ทำให้คุณเจ็บปวด หรือว่าทั้งสองอย่าง!

วินาทีนั้น คุณอยากตาย...

แต่มาบัดนี้ เธอพบกับความหมางเมิน ใบเฟิร์นแห้งเหลือง-ร่วงหล่น ดอกไม้หม่นเศร้า อับเฉา-โรยรา ตะกร้าหวายป่า ไม่อาจสานสัมพันธ์เปราะบาง...
บทเพลงทำให้คุณนึกถึงถ้อยคำของใครบางคน “คุณยิ่งวิ่งตาม เธอยิ่งวิ่งหนี ยิ่งคุณรอคอย เธอยิ่งไม่มา หากคุณหยุดนิ่ง ดำรงชีวิตตามปกติธรรมดาของคุณไป อาจจะด้วยวิถีโคจรของสรรพสิ่ง หรือจะเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรก็ตามแต่ วันหนึ่ง เธออาจหวนกลับมาหาคุณเอง และเมื่อวันนั้นมาถึง คุณยังจะต้องการเธออยู่อีกไหม - คำตอบอาจเศร้ายิ่งกว่า-ยิ่งกว่าความเศร้าใดของคุณ”

กว่าจะได้รู้ มองและเห็นคุณค่า ก็เมื่อถึงเวลาที่ต้องสูญเสียสิ้นไป...

ท้ายที่สุดแล้ว ถามว่า คุณใจกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงไหม และใจกว้างพอที่จะยอมรับมันได้หรือเปล่า

เจ็บ... แล้วก็จบ พบ... แล้วก็จาก จะมีสิ่งใดแน่นอน...

เพลงตะกร้าหวาย – ดอกไม้ – ใบเฟิร์น จบไปนานแล้ว ...ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง คุณลุกจากเก้าอี้ไม้ และราวกับว่าคุณกำลังเดินออกมาจากภวังค์หลับใหล เหมือนได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกขาน เสียงเจื้อยแจ้วแว่วหวานนั้นกังวานมาจากที่ใดกันแน่นะ เป็นความทรงจำ หรือความจริง ความจริง หรือความทรงจำ...


***มอบแด่น้องชายคนหนึ่ง

Tuesday, July 10, 2007

อัมพวาที่คิดถึง

























ต้นเดือนที่ผ่านมา ผมกับทีมงานนิตยสารฟรีฟอร์มแอบหนีงานไปเที่ยวกันครับ

เรื่องของเรื่องเริ่มจาก ‘หมวยโหด’ หัวโจก พร้อมผู้สมรู้ร่วมคิด ‘อันอัน’ แอบวางแผนกันอย่างลับๆ และลักลอบชักชวนเพื่อนๆ พร้อมเรี่ยไรเงินกองกลาง ทำการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ทุกคนเห็นดีเห็นงามและคล้อยตาม ทริป สถานที่ และกำหนดการต่างๆ ที่เธอทั้งสองได้ตัดสินใจ “เลือกให้เอง” โดยไม่ต้องปรึกษาหารือใครให้ยุ่งยาก

อัมพวา...

เช้าวันเสาร์ เรานัดเจอกันที่สะพานควาย อากาศแจ่มใส สายลมเย็นสบาย พอครบองค์ พวกเราจึงเริ่มออกเดินทาง...

สมุทรสงคราม จังหวัดเล็กๆ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 63 กิโลเมตร ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงาม ประดับประดาไปด้วยกังหันลม นาเกลือ และป้ายโฆษณาจตุคามรามเทพ ทำให้เราเพลินตาเพลินใจได้ไม่น้อย เราใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึง บ้านริมคลอง (อัมพวา) บ้านพักแบบ โฮมสเตย์

จะบอกว่าผิดหวังก็ไม่ใช่ แต่เป็นอาการสงสัยมากกว่า เพราะก่อนออกเดินทางมาที่นี่ หมวยโหด ได้เอาตำแหน่งหน้าที่ และสวัสดิการต่างๆ ที่ตนจะได้รับมาเป็นประกันว่า พวกเราจะได้สัมผัสกับ น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ในคลองอัมพวาแห่งนี้ แต่พอพวกเราเดินทางมาถึง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นลำคลองที่จวนเจียนจะแห้งขอด น้ำลด ตอผุด ปลาตีนแหวกว่ายโคลนตมอยู่ไหวๆ เรือลำใหญ่เกยโคลนอยู่ริมตลิ่ง ผมยืนนิ่งมองลำคลองอยู่เงียบๆ คนเดียว คิดหาเหตุผลว่าทำไมน้ำในคลองจึงลดลงขนาดนี้ (วะ) ทั้งๆ ที่ตอนนี้ฝนตกชุก ดูตอนออกจากบ้านมาฝนมันก็ยังทำท่าว่าจะตก ความจริงจะเดินไปถามชาวบ้านดูก็ได้ แต่อยากลองคิดเองดูก่อน “เดี๋ยวตอนเย็นๆ น้ำก็ขึ้นแล้วหนุ่ม ไม่ต้องตกใจ” ยังไม่ทันได้เริ่มคิดเลย คุณลุงแกมาจากไหนไม่รู้ มาตอบคำถามในใจให้เสร็จสรรพเลย

คลองตรงหน้านี้มีชื่อว่า คลองผีหลอก (ชื่อน่ากลัว แต่บรรยากาศดี) เป็นคลองที่เชื่อมกับลำน้ำแม่กลอง -- แม่น้ำสำคัญสายหนึ่งในภาคตะวันตก เกิดจากแม่น้ำแควใหญ่และแควน้อย ไหลมาบรรจบกันที่ตำบลบ้านแพรก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ไหลผ่านจังหวัดราชบุรี สมุทรสงคราม และไหลลงสู่ปากอ่าวไทย มีความยาวประมาณ 132 กิโลเมตร

ดังนั้น เหตุที่น้ำขึ้น-น้ำลง อาจเกิดจากอิทธิพลของน้ำทะเลในแม่น้ำแม่กลอง อะไรทำนองนั้น ผมเดาเอานะ

หลังจากพักเหนื่อย เก็บข้าวของไว้ในบ้านพัก ดื่มน้ำสมุนไพรเย็นๆ ชุ่มใจแล้ว หมวยโหดเอ่ยขึ้นว่า... “เราไปเที่ยวอุทยาน ร.2 แล้วก็ไปดูบ้านแมวไทยกัน”

งั้นเราก็ไปกันเลย...



ออกจากบ้านแมวไทย เลี้ยวซ้ายขึ้นถนนใหญ่ ขับรถ ชมวิว คุยเล่นกันสนุกสนาน เพลิน... จนหารู้ไม่ว่า... พวกเรากำลังหลงทาง หลงทางคันเดียวไม่พอ (มันไม่มันส์) ยังอุตส่าห์บอกเพื่อน (อาร์ทกับแฟน) ที่กำลังตามมาสมทบให้หลงทางไปด้วยอีก หลงเป็นระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร หรืออาจมากกว่านั้น -เวรกรรมจริงๆ


มืดค่ำ, กลับมาถึงที่พัก ทุกคนอยู่ในสภาพหิวซก สังขารน่าเวทนามากๆ และไฮไลต์ของค่ำคืนนี้เรามีนัดลงเรือชมหิ่งห้อยเสียด้วยสิ

ดังนั้น เราไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า จะได้มีแรงไปโรแมนติกกัน...

เราล่องเรือเลียบคลองผีหลอก แวะชมตลาดน้ำยามเย็นของอำเภออัมพวา คงเป็นเพราะตรงกับวันหยุดช่วงสิ้นเดือนพอดี จึงทำให้มีผู้คนมาเดินเที่ยวตลาดกันมากมาย จับจ่าย ซื้อของกันอย่างคึกคัก ส่วนมากจะหนักไปทางนักท่องเที่ยว ทั้งที่เดินอยู่บนฝั่ง และล่องอยู่ในเรือ กระหน่ำถ่ายรูป กดเก็บภาพความทรงจำกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศของตลาดน้ำอัมพวาในยามเย็น ในความรู้สึกของผมมันเหมือนงานเทศกาลประจำปีที่เอาถนนข้าวสารมาผสมกับงานวัดแล้วก็จัดกันอยู่สองข้างคลองนั่นแหละ ดูอบอุ่นและเป็นกันเองดี ตลาดน้ำแห่งนี้จะมีในช่วงยามเย็นที่แดดร่มลมตกเรื่อยไปจนถึงค่ำมืด แต่ไม่ถึงกับดึกดื่น ชาวบ้านจะพายเรือนำสินค้าหลากหลายชนิดมาขายให้นักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นที่เข้ามาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดอัมพวา เช่น อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ข้าวต้ม ขนม ผัก ผลไม้ และบนฝั่งทั้งสองฟากก็มีร้านขายสินค้า ของที่ระลึก และร้านอาหารมากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นได้สัมผัสกับวิถีของชุมชนชาวคลอง ชีวิตริมน้ำ ว่าสวยงาม และน่าประทับใจขนาดไหน...

...จากคลองผีหลอก (เราเห็นผีสไปเดอร์แมนนั่งอยู่บนกิ่งไม้กับเพื่อนผีอีกตัว ชวนขนลุกเล่นดีเหมือนกัน) เรือของเราล่องตัดเข้าสู่ลำน้ำแม่กลอง แล้วค่อยๆ เลาะขนานไปตามริมฝั่งแม่น้ำ หิ่งห้อยตัวน้อยเริ่มปรากฏ วอมแสงกะพริบวิบวับประดับประดาอยู่ตามสุมทุมพุ่มลำพู ดวงตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังลำพูที่เรียงรายอยู่ริมตลิ่ง บางคนบอกว่าเหมือนไฟกะพริบบนต้นมะขามที่สนามหลวง บางคนจินตนาการไปว่า ใต้ต้นลำพูต้องมีปลั๊กไฟแน่ๆ แล้วก็มีคำถามเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยตามมาอีกมากมาย บ้างก็ถามว่าทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสง บ้างก็ว่าทำไมต้องต้นลำพู บ้างก็เล่าว่าหิ่งห้อยคือวิญญาณของชายที่จุดตะเกียงโคมตามหาหญิงคนรักชื่อนางลำพู นางผู้จมหายไปในแม่น้ำ นางลำพูได้ไปเกิดเป็นต้นไม้ชื่อต้นลำพู ส่วนชายหนุ่มกลายเป็นหิ่งห้อยมีแสงที่ก้นเพื่อส่องหานางที่รักไปตลอดกาล (นิทานหิ่งห้อยฉบับไทย)

ความจริงแล้ว หิ่งห้อย เป็นแมลงจำพวกด้วงปีกแข็ง ลำตัวยาวรี เวลากลางวันหิ่งห้อยหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืชในที่ชื้นแฉะ หรือหลบตามกาบไม้ซอกไม้ต่างๆ ในเวลากลางคืนจึงบินออกมาจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ ต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะกะพริบแสง ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่มีใบโปร่ง ในธรรมชาติพบเกาะอยู่ตามต้นลำพู ต้นแสม ต้นโกงกาง ต้นโพทะเล และต้นทิ้งถ่อน รวมทั้งต้นไม้ที่อยู่ตามริมน้ำต่างๆ การอนุรักษ์หิ่งห้อยทำได้โดยการรักษาแม่น้ำ ลำคลอง บึงต่างๆให้สะอาด โดยไม่ทิ้งขยะ หรือสารเคมีลงในแหล่งน้ำ รวมทั้งอนุรักษ์ป่าไม้ เช่น ป่าต้นน้ำ และป่าชายเลนให้อุดมสมบูรณ์ ทำให้หิ่งห้อยสามารถขยายพันธุ์ดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นการเพิ่มความสวยงามให้แก่ธรรมชาติดำรงอยู่ต่อไป...
เสียดายที่เราไม่มีภาพถ่ายหิ่งห้อยในค่ำคืนนั้นมาฝาก ความจริงเพื่อนของเรามีกล้องดิจิตอลราคาแพงอยู่สองตัว คุณภาพดี แต่ผู้เป็นเจ้าของยังเรียนรู้ที่จะใช้งานมันในที่มืดได้ไม่ค่อยดีนัก ราคาของกล้องสองตัวในค่ำคืนนั้นจึงน่าจะดิ่งลงมาอยู่ที่ระดับ 2 ตัว 20 “แพงกว่าปลานิลที่ตลาดบางกะปิเสียอีก” อันอันว่า
พอกลับมาถึงบ้านพักริมคลอง น้ำใสก็ไหลนองเต็มตลิ่งแล้ว หมวยโหดกระโดดลงน้ำแบบไม่คิดชีวิต ตามติดด้วยโน้ต-หนุ่มนักแต่งเพลง และน้องศิ เลขากองบรรณาธิการผู้ว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนอันอัน หล่อนบอกว่าเป็น “ห้องกรงฟู้ด” ลงน้ำไม่ได้ จึงคอยดูแลความปลอดภัย และสอนน้องศิว่ายน้ำอยู่บนฝั่ง ผมถามหาเป็ดตกปลากับพี่เจ้าของบ้านพัก ได้รับคำตอบกลับมาว่าแกเป็นคนไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และแกถือโอกาสนี้แจ้งให้ทราบเลยว่า กรุณาอย่าส่งเสียงดัง เพราะมีคนอาศัยอยู่บ้านข้างๆ เกรงใจเขา และกลุ่มที่มาพักก่อนหน้าเราก็ทำประวัติไม่ค่อยดีเอาไว้ ประมาณว่าพวกเขากินเหล้า ร้องรำทำเพลงกันจนบ้านข้างๆ ไม่เป็นอันหลับอันนอน เข้าใจครับ เดี๋ยวผมปูเสื่อนั่งดูน้องๆ เล่นน้ำก็ได้ เพลินดี
แล้วค่ำคืนที่แสนจะธรรมดาคืนนี้ก็ผ่านพ้นไป...
“เช้านี้เราจะไปดูตลาดรถไฟกัน!” หมวยโหดลุกขึ้นมาประกาศกร้าว ปลุกเพื่อนๆ ตั้งแต่เช้ามืด “เราจะไปดูตลาดรถไฟกั๊นนน (โว้ย-ตื่นซะทีซีวะ)!” อันอันตื่นก่อนเพื่อน แต่แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนต่อ...
ตรื่นน ... โว้ยยย!
วันนี้หมวยโหดนำทีมออกหากินแต่เช้า เราประเดิมมื้อแรกเบาๆ กับเกาเหลา ข้าวเปล่า เจ้าที่ว่ากันว่าอร่อยมากๆ เจ๋งสุดๆ มาที่นี่ต้องกินให้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เราทึ่งไม่แพ้รสชาติก็คือ คนขายสามารถจำรายละเอียดในก๋วยเตี๋ยวและเกาเหลาแต่ละชามที่พวกเราและคนต่างพ่อต่างแม่มานั่งสั่งกิน (และใส่ถุงกลับไปกินที่บ้าน) ได้อย่างแม่นยำ ความจำเป็นเลิศ รู้ว่าชามไหน ของใคร และรู้ว่าในแต่ละชามนั้นผู้เป็นเจ้าของประสงค์ให้มีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้าง โดยไม่ต้องจดใส่กระดาษ มีสมาธิ และมีความจำดีมากๆ เลย ผู้หญิงคนนี้ ช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่างกับอันอันของเราเสียจริงๆ
ไปดูตลาดรถไฟกัน...
ตลาดรถไฟ หรือตลาดร่มหุบ อยู่ใกล้ๆ กับสถานีปลายทาง แม่กลอง แม่ค้าพ่อค้าพากันวางผักสด ปลาสด ผลไม้ และสินค้าหลากหลายชนิด แนบชิดอยู่กับไม้หมอนและเหล็กรางรถไฟ ขายกันจะจะ อยู่ตรงนั้น มันก็แปลกดี เป็นการใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์ สร้างให้เป็นจุดเด่น ทำให้เป็นจุดขาย สร้างรายได้ คงเป็นอะไรทำนองนั้น พอรถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาสถานี บรรดาร่มกันแดดของพ่อค้าแม่ค้าที่เรียงรายอยู่สองข้างรางรถไฟก็พากันหุบหับฟึบฟั่บอย่างพร้อมเพรียง และภาพน่ารักๆ ของคุณยายขายผักที่แกสามารถกะระยะให้สินค้าของแกลอดใต้ท้องรถไฟได้พอดีเป๊ะ ผมเห็นยอดผักบุ้งไหวๆ อยู่ใต้ท้องรถไฟเพียงไม่กี่มิลลิเมตร คนต่างถิ่นอย่างพวกเราและฝรั่งมังค่าก็พากันตื่นเต้นและลุ้นละทึกกันน่าดู พอรถไฟและเสียงระทึกในอกและนอกอกผ่านพ้นไป เราก็ได้เห็นพ่อค้า แม่ค้า และคุณยายค้าส่งยิ้มเป็นกันเองมาให้พวกเราอย่างเอ็นดู (รู้นะว่าคุณยายคิดอะไรอยู่) เป็นธรรมดาที่ผู้มาเยือนอย่างพวกเราย่อมรู้สึกดี ก็บรรยากาศดีๆ อย่างนี้...
หลังจากนั้นพวกเราก็พากัน แห่ ลงเรือ ชมวัด ชมคลองอัมพวา เพลินตาเพลินใจ ไกลไปจนออกสู่แม่น้ำแม่กลอง ทิ้งคลองอัมพวาไว้ข้างหลัง มุ่งหน้าไปยังตลาดน้ำดำเนินสะดวก ใช้เวลาเดินเรือประมาณหนึ่งชั่วโมง ชิมตลาด ชมก๋วยตี๋ยวเรือ ชักรูป ชงเรื่องกับบรรดาแม่ค้าพายเรือ เสร็จสรรพ ขากลับเราล่องเรือไปตามลำคลองเลี้ยวลดคดเคี้ยว ดูวิถีชิวิตริมคลอง และบ้านเก่าแก่อายุนับร้อยปี น้ำในลำคลองยังใส ชาวบ้านใช้อาบ และเด็กๆ ได้กระโดดน้ำเล่นกัน และเราก็ได้เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง “คนที่อื่นเรียกว่ายังไงผมไม่รู้ รู้แต่ว่าคนแแถวนี้เขาเรียก มังกรทอง” คนขับเรือกล่าวถึงสัตว์ที่ว่ายน้ำอยู่ริมคลองตัวนั้น พวกเราต่างก็จ้องมองมัน แล้วหันมาจ้องมองกัน “เหี้ย” คนกรุงเทพฯเขาชอบเรียกกันอย่างนี้ ผมบอกคนขับเรือในใจ...
ขากลับเราแวะวัดบางกุ้ง ดูโบสถ์ปรกโพธิ์ และกลับมาถึงบ้านพักริมคลองอย่างปลอดภัย (และอ่อนล้า) อาบน้ำ นอนหลับพักผ่อน เพื่อที่ว่าตื่นขึ้นมาเราจะได้เดินไปเที่ยวตลาดน้ำยามเย็น ส่งท้าย บ๊ายบายอัมพวา และเดินทางกลับกัน...
อัมพวา เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก โดยเฉพาะชุมชนที่เรียงรายอยู่สองฝั่งคลอง แม้ว่าจะเป็นการมาเยือนเพียงหนึ่งคืนสองวัน แต่นั่นก็ทำให้เราได้สัมผัสถึง ‘น้ำคลองที่ใส’ ที่ชุมชนชาวคลองแห่งนี้เขารักษาไว้ให้อยู่คู่กับ ‘น้ำใจที่จริง’ ผมรู้สึกอย่างนั้น...

คงต้อง (ยอม) ยกความดีความชอบครั้งนี้ให้ หมวยโหด กับ อันอัน ที่นำพาพวกเรามาพบเจอสิ่งดีๆ (ซะที)

Thursday, June 28, 2007

ส้ม

เขายังอยู่ในท่านอนตะแคง เพ่งมองส้มลูกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตั้งโคมไฟข้างเตียงนอน เขายังไม่อยากเอามือไปแตะต้องมัน เพียงแต่ใช้สายตาเพ่งมองอยู่อย่างนั้น เพ่งมองจนราวกับว่าส้มลูกนั้นกำลังกลิ้งไปกลิ้งมา พลิกหน้าพลิกหลังให้สำรวจดูผิวเปลือกกลมๆ ของมันจนถ้วนทั่ว เขาใช้สายตาคลึงส้มผลนั้นเล่นอยู่อย่างนั้น…

...พลิกตัวกลับหันมองข้างกาย เธอยังนอนหลับอยู่ข้างๆ เหมือนคนตาย นอนนิ่งและหลับลึก เขาสงสัยว่าเธอยังหายใจอยู่หรือเปล่า เขาอยากเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของเธอ แต่กลัวจะเป็นการปลุกเธอให้ตื่น หรือถ้าหากเธอตายจริงๆ จะมีประโยชน์อะไรกับการเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของเธอ จะมีประโยชน์อันใดกับการปลุกเธอให้ตื่น เราปลุกคนตายให้ตื่นขึ้นมาได้หรือ เธอตายหรือเปล่านั้น ไม่สำคัญเท่ากับหากเธอยังหลับอยู่ เขาจะไม่รบกวน เธออาจกำลังมีความสุขอยู่กับความฝัน ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากรู้อยากเห็นกระทั่งว่าเธอกำลังฝันถึงอะไรอยู่ ถ้าเธอฝันดี เขาจะปล่อยให้เธอดื่มด่ำอยู่กับความฝันนั้น แต่ถ้าเธอฝันร้าย เขาจะรีบปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา แล้วปลอบโยนเธอว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร มันเป็นเพียงความฝัน เขายังเฝ้ามองเธอยู่อย่างนั้น เขาชอบมองเวลาที่เธอหลับ เวลาเธอหลับเธอเหมือนผู้หญิงที่อยู่ในภาพวาด (ที่ดูยังไงก็ดูไม่ออกว่า เธอกำลังหลับหรือตาย) เธอเหมือนภาพวาดมากกว่าที่จะเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ หญิงสามัญที่เป็นทั้งหมดทั้งมวลของความฝันและความหวัง เธอคือแรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ของเขา...

นกน้อยตัวสีส้มบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ข้างหน้าต่างห้องนอน เสียงใสๆ ของมันล่องลอยอยู่ในลมเช้าอันสดชื่น

เช้านี้ ช่างเหมือนสวรรค์ที่เขาเคยรู้สึกตลอดเวลาว่ามันไม่มีอยู่จริง

“มันไม่ได้ขี้โม้นะ มันร้องเพลงต่างหาก” เธอลืมตาตื่นขึ้นมาปกป้องเจ้านกน้อยตัวนั้นทันที “แล้ว... มันก็ไม่ได้ร้องหาสวรรค์วิมานด้วย!” เธอหันมาทำตาขวาง เวลาเธอโกรธนิดๆ เธอดูน่ารักมาก
เธอหันกลับไปนอนท่าเดิม ส่งสายตาหยาดเยิ้มเคลิ้มฝันไปทางเจ้านกน้อยสีส้มตัวนั้น เสียงของมันหวานไหวไพเราะจับใจเหลือเกิน

“อย่ามาเสแสร้งเลย” แน่ะ! เธอยังไม่หายโกรธนิดๆ อีก แทนคำพูดเขาดึงเธอเข้ามาโอบกอด แทนคำขอโทษ เขาจูบที่หน้าผากของเธอ และแทนความรู้สึกบางอย่าง...

เธอหลับตาเคลิ้ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มปริ่มสุข

“น้าอย่าแกล้งมันอีกนะ” เสียงของเธอหวานไหวไพเราะจับใจเหลือเกิน เหมือนเสียงที่สะท้อนอยู่ในความฝัน เจ้านกน้อยยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่อย่างนั้น เขาให้สัญญาว่าจะไม่กลั่นแกล้งเจ้านกน้อยตัวนั้นอีก

“น้าว่ามั้ย” เธอเอ่ยขึ้นลอยๆ ค่อยๆ ลืมตาโดยไม่ได้หันมามองเขา “เจ้านกน้อยอาจกำลังร้องหาคู่ของมันอยู่ก็ได้”
เขามองไปที่เจ้านกน้อยตัวนั้น พลันรู้สึกหดหู่อยู่ในหัวใจ สวรรค์ที่เขาเฝ้าประคับประคองไว้กำลังมลาย เขาหลับตา ข่มกลั้นความรู้สึกหดหู่นั้นไว้…
“คู่ของมันอยู่ไหนละน้า” คล้ายเสียงของเธอแว่วมาจากที่ที่ไกลแสนไกล

เขาค่อยๆ ลืมตา…

“คู่ของมันอยู่ไหนละน้า” เธอถามพร้อมกับหันมามองหน้าเขา แล้วหันกลับไปมองเจ้านกน้อยตัวนั้น

เขาไม่ได้ยินกระทั่งคำตอบของตัวเอง มันเบาจนเงียบ และเหมือนกำลังพูดอยู่ในใจมากกว่า

“นั้นสินะ” เธอว่า “สักวันมันจะได้เจอคู่ของมันอย่างที่น้าว่าจริงๆ นั่นแหละ” เธอหันมาสบตากับเขา ลมเช้าโลมเล่นอยู่กับปอยผมตรงข้ามขมับ มันเย็นจนเธอกระชับอ้อมกอดของเขาเข้ามาอีก

“มันคงเป็นผู้ชายนะน้า ดูสิ ดูจากสีของมัน” เธอเอียงคอนิดๆ เพ่งสายตาไปที่เจ้านกน้อยตัวนั้นอย่างพินิจพิจารณา เธอเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเบาๆ เธอกำลังครุ่นคิด…

“น่าสงสาร... มันคงเหงา” เธอหันมาจ้องมองเขาด้วยแววตารันทดระคนสมเพช เขาเบือนหน้าหนี ค่อยๆ คลายอ้อมกอด เธอรวบรั้งร่างเขาเอาไว้ จับให้นอนหงาย แล้วโถมกายขึ้นนั่งคร่อม

“โกรธเหรอ” เธอถาม แต่ไม่เปิดโอกาสให้ตอบ เธอพูดต่อ “เราชอบเวลาน้าโกรธ น่ารักดี” อารมณ์เธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ความรู้สึกพาไปอย่างเป็นธรรมชาติ จากหวานเธอจะกลายเป็นเปรี้ยว ถ้าเป็นผลไม้เธอจะชื่อว่า...

‘ส้ม’

เขาเบือนสายตาจ้องจับไปที่หน้าต่าง เจ้านกน้อยตัวนั้นหายไปแล้ว...
“น้าทำให้มันตกใจ มันบินหนีไปแล้ว น้าต้องรับผิดชอบ!” ดวงตาเธอคล้ายกำลังเหม่อมองตามรอยปีกของเจ้านกน้อยตัวนั้นไป...

“อะไรนะ...ไอ้บ้า! ว่าเราหรอ”แล้วเธอก็ออกแรงขย่มเขย่าตัวเขาราวกำลังควบขับอาชา เขาจับเธอพลิกลงไปนอนหงาย แล้วโถมกายคร่อมกอดเธอไว้ เธอแน่นิ่ง และยอมจำนน…

“ก็น้าว่าเราเป็น ‘นางนกต่อ’ ทำไมล่ะ”

เธอพยายามแก้ตัว แต่เขาพยายามปลดกระดุมชุดนอนของเธอ

“ปล่อยนะ ปล่อยก่อน เราจะไปฉี่” เธอส่งสายตาอ้อนวอน

ลุกขึ้น เดินไปเข้าห้องน้ำ พอมือจับลูกบิดประตูห้องน้ำได้ เธอเบี่ยงตัวหันมาส่งยิ้มหยาดเยิ้มยั่วยวนทันที เขาลุกขึ้น พุ่งปราดไปยังเป้าหมาย แต่ช้าเกินไป เธอปิดประตู ปัง! แล้วเสียงหัวเราะเยาะหยันอย่างผู้ชนะก็ตามมา เขาส่ายหัว อมยิ้มแบบ... ฝากไว้ก่อนเถอะ นังตัวดี!

ฟ้าครึ้ม ฝนพรำละอองปลิวปราย เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองฝ่าม่านละอองฝนออกไปยังเบื้องหน้า เขารู้สึกถึงเช้าที่สงบ เป็นเช้าที่งดงาม เขาอยากให้เธอมายืนอยู่ข้างๆ เธอมัวทำอะไรอยู่นะ ทำไมเธอไม่มาสักที เขารู้สึกเหมือนเธอช่างอยู่ไกลแสนไกล เธออยู่ไหนนะ เธออยู่ไหน เขาคิดถึงเธอเหลือเกิน...

เขายังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองฝ่าม่านละอองฝนออกไปยังเบื้องหน้า ผู้หญิงคนหนึ่งเดินกางร่มสีส้มไกลออกไป...ไกลออกไป เขากะพริบตา เพ่งมองอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา เธอเดินผ่านพุ่มไม้เตี้ยๆ ย่ำบนผืนหญ้า ตัดเข้าสู่ถนนดินชื้นแฉะ ผ่านซุ้มโมก ซึ่งสัมผัสจากเรือนร่างของเธอทำให้ดอกสีขาวเล็กๆ ของมันร่วงกระจาย ใกล้เข้ามา... ใกล้เข้ามา หยุดอยู่ตรงเบื้องหน้า เบี่ยงร่มสีส้มเอนไปทางด้านหลัง เงยหน้าขึ้น ยิ้มให้เขา ในจังหวะเดียวกับที่ดอกโมกสีขาวเล็กๆ ที่ติดอยู่ตรงปลายเส้นผมอันยาวสยายร่วงลิ่วลงสู่พื้น เธอเปล่งถ้อยคำออกมาเป็นเสียงกระซิบ “คิดถึงเราอยู่เหรอ... น้า!...”

เขาสะดุ้งตกใจ ขนลุก ร่างเปลือยเปล่าของเธอสวมกอดเขา สองเต้าเต่งเบียดแนบอยู่กับแผ่นหลัง ใบหน้าซบอยู่กับไหล่ เขากะพริบตา เพ่งมองฝ่าม่านละอองฝนออกไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นกับร่มของเธอกลายเป็นเพียงจุดแต้มเล็กๆ สีส้ม เต้นระริกอยู่ไกลจนเกือบสุดสายตา…

เขาดึงตัวเธอให้แนบชิดยิ่งขึ้น ซึมซับเอาความอบอุ่นละมุนละไม ให้มันอยู่กับเขาไปชั่วนิรันดร์

สิ่งที่โลกไม่เคยมอบให้ แต่จะมาพรากไปจากเขา

ฝนพรำบางเบา เจ้านกน้อยสีส้มตัวนั้นกลับมาส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนเดิม เขาและเธอนอนเปลือยกายสวมกอดกันอยู่บนเตียง ปากพร่ำพรมจูบกันดูดดื่ม เธอบอกว่ารู้สึกเหมือนตัวเองกลับกลายเป็นทารก เขาก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วทารกสองคนก็ร่วมรักกันอย่างสุขสมกลมเกลียว เขาได้กลิ่นหอมพรหมจรรย์ลอยอยู่ตลบอบอวล กระทั่งเขาและเธอเคลิ้มหลับไป

...เขายังอยู่ในท่านอนตะแคง เพ่งมองอยู่ที่ส้มลูกนั้น ไม่รู้ว่าเขาเพ่งมองอยู่นานเท่าไหร่แล้ว เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบ...

ส้มลูกนั้นพลันหายไป!

พลิกตัวกลับหันมองข้างกาย เขาพบเพียงไอ้สิงห์ แมวขี้เกียจกำลังนอนหาว มองไปที่หน้าต่าง ตะกวดตัวเขื่องกำลังตะกายอยู่บนต้นมะพร้าวยอดด้วน เขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ตัดสินใจลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำ… ออกจากห้องน้ำ แต่งตัว...

บางที (เขาบอกตัวเอง) เขาอาจเจอเธอระหว่างทาง อาจเป็นที่ป้ายรถเมล์ ท่าเรือ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือเขาอาจไม่เจอเธอเลย สักคน บนโลกใบนี้ แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะขากลับเขาต้องแวะซื้อส้มที่ตลาดอย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยๆ เขาก็มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมา

ข้างนอกแดดเปรี้ยง ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก แต่เขารู้ว่า ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งนั้น ฝนกำลังพรำละอองปลิวปราย

เขาเดินไปหยิบร่มสีส้มที่ข้างประตู แล้วเดินออกไป...


*ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่องสั้น ‘หิมะกัด ส้ม ผมลิขิต’