Thursday, July 12, 2007

หน้าต่างสายฝน... ตะกร้าหวาย ดอกไม้ และใบเฟิร์น




มองฝนที่พรมพราย ด้วยสายตาพร่าเลือน บางสิ่งย้ำเตือน ในบ้านหลังเก่า ...

ท่อนแรกของเพลง ตะกร้าหวาย – ดอกไม้ – ใบเฟิร์น /BASKET-FLOWERS-FERNS อัลบั้ม การเดินทางของ “ตะกร้า” (The Journey of Basket) ของ รังสรรค์ ราศี-ดิบ การันตีด้วย 2 รางวัลสีสันอะวอร์ด ครั้งที่ 14 (SEASON AWARDS 2001) จากอัลบั้มยอดเยี่ยม (Best New Artist of The Year)

เพราะนึกถึงใครบางคน กับสายฝนนอกหน้าต่าง จึงทำให้คุณต้องค่อยๆ เอื้อมมือล้วงเข้าไปหยิบแผ่นเพลงนี้ (ต้องค่อยๆ ล้วงเข้าไป เพราะข้างในนั้นมีแต่สิ่งเปราะบาง) ในซอกมุมที่อยู่ลึกที่สุด เอาออกมาปัดฝุ่นและเปิดฟังอีกครั้ง

บางความทรงจำ คุณพบว่า มันยังคงชัดเจนอยู่เสมอ

บางครั้ง กับบางคำถาม และใครบางคนที่เขาห่วงใยคุณ ว่า... “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า เล่าให้ฟังได้ไหม” ต่อคำถามของใครคนนั้น บางครั้ง เพลงบางเพลงคล้ายตอบแทนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่คุณมี และบางที คำตอบของคุณมีเพียงสายลมหวีดหวิว...

ยิ่งนานยิ่งเหงา สำเนียงเสียงฟ้ากระหน่ำ ตะกร้าหวายย้ำให้ย้อนคิดถึงเรื่องราว...

เนื้อร้องอันหวานเศร้าราวบทกวีของเพลง ตะกร้าหวาย – ดอกไม้ – ใบเฟิร์น คือสัมผัสอันพลิ้วไหว แผ่วหวาน ของลำธารสายเล็กๆ ที่กำลังรินละล่องไหลผ่านวิญญาณของคุณ... คุณหลับตา และราวกับว่าคุณกำลังเคลิ้มไปกับลำธารสายเหงานั้น ด้วยอาการกึ่งฝันกึ่งตาย...

นี่มันเป็นจินตนาการหรือความทรงจำกันแน่นะ

เมื่อนานมาแล้ว ที่แนวริมหน้าต่างนั่น ใบเฟิร์นเหล่านั้น เสียบซ้อนไม้งามกลิ่นหอม พร้อมหยาดเม็ดฝน หยดน้ำเกาะพรมประกาย มีสายสัมพันธ์งดงามของคนสองคน...

ความทรงจำยิ่งงดงามเพียงใด มันยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้คุณเพียงนั้น

บทเพลงกำลังนำคุณเข้าไปสู่ดินแดนของความทรงจำ คุณไม่รู้ทางออก ไม่เห็นทางออก และไม่สนใจว่ามันจะมีทางออกหรือไม่ คุณอยากมีชีวิตอยู่ในนั้น เป็นพระราชาของอาณาจักรแห่งความทรงจำ แต่ฉับพลัน! ความเจ็บปวดรวดร้าวไม่รู้มาจากไหน มันแล่นเสียดลึกเข้าสู่ขั้วหัวใจ ราวไฟพิษ พร้อมกับเกิดคำถามประดังถั่งโถมตามมาว่า แท้จริงแล้ว ความจริงหรือความทรงจำกันแน่ที่ทำให้คุณเจ็บปวด หรือว่าทั้งสองอย่าง!

วินาทีนั้น คุณอยากตาย...

แต่มาบัดนี้ เธอพบกับความหมางเมิน ใบเฟิร์นแห้งเหลือง-ร่วงหล่น ดอกไม้หม่นเศร้า อับเฉา-โรยรา ตะกร้าหวายป่า ไม่อาจสานสัมพันธ์เปราะบาง...
บทเพลงทำให้คุณนึกถึงถ้อยคำของใครบางคน “คุณยิ่งวิ่งตาม เธอยิ่งวิ่งหนี ยิ่งคุณรอคอย เธอยิ่งไม่มา หากคุณหยุดนิ่ง ดำรงชีวิตตามปกติธรรมดาของคุณไป อาจจะด้วยวิถีโคจรของสรรพสิ่ง หรือจะเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรก็ตามแต่ วันหนึ่ง เธออาจหวนกลับมาหาคุณเอง และเมื่อวันนั้นมาถึง คุณยังจะต้องการเธออยู่อีกไหม - คำตอบอาจเศร้ายิ่งกว่า-ยิ่งกว่าความเศร้าใดของคุณ”

กว่าจะได้รู้ มองและเห็นคุณค่า ก็เมื่อถึงเวลาที่ต้องสูญเสียสิ้นไป...

ท้ายที่สุดแล้ว ถามว่า คุณใจกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงไหม และใจกว้างพอที่จะยอมรับมันได้หรือเปล่า

เจ็บ... แล้วก็จบ พบ... แล้วก็จาก จะมีสิ่งใดแน่นอน...

เพลงตะกร้าหวาย – ดอกไม้ – ใบเฟิร์น จบไปนานแล้ว ...ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง คุณลุกจากเก้าอี้ไม้ และราวกับว่าคุณกำลังเดินออกมาจากภวังค์หลับใหล เหมือนได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกขาน เสียงเจื้อยแจ้วแว่วหวานนั้นกังวานมาจากที่ใดกันแน่นะ เป็นความทรงจำ หรือความจริง ความจริง หรือความทรงจำ...


***มอบแด่น้องชายคนหนึ่ง

Tuesday, July 10, 2007

อัมพวาที่คิดถึง

























ต้นเดือนที่ผ่านมา ผมกับทีมงานนิตยสารฟรีฟอร์มแอบหนีงานไปเที่ยวกันครับ

เรื่องของเรื่องเริ่มจาก ‘หมวยโหด’ หัวโจก พร้อมผู้สมรู้ร่วมคิด ‘อันอัน’ แอบวางแผนกันอย่างลับๆ และลักลอบชักชวนเพื่อนๆ พร้อมเรี่ยไรเงินกองกลาง ทำการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ทุกคนเห็นดีเห็นงามและคล้อยตาม ทริป สถานที่ และกำหนดการต่างๆ ที่เธอทั้งสองได้ตัดสินใจ “เลือกให้เอง” โดยไม่ต้องปรึกษาหารือใครให้ยุ่งยาก

อัมพวา...

เช้าวันเสาร์ เรานัดเจอกันที่สะพานควาย อากาศแจ่มใส สายลมเย็นสบาย พอครบองค์ พวกเราจึงเริ่มออกเดินทาง...

สมุทรสงคราม จังหวัดเล็กๆ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 63 กิโลเมตร ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงาม ประดับประดาไปด้วยกังหันลม นาเกลือ และป้ายโฆษณาจตุคามรามเทพ ทำให้เราเพลินตาเพลินใจได้ไม่น้อย เราใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึง บ้านริมคลอง (อัมพวา) บ้านพักแบบ โฮมสเตย์

จะบอกว่าผิดหวังก็ไม่ใช่ แต่เป็นอาการสงสัยมากกว่า เพราะก่อนออกเดินทางมาที่นี่ หมวยโหด ได้เอาตำแหน่งหน้าที่ และสวัสดิการต่างๆ ที่ตนจะได้รับมาเป็นประกันว่า พวกเราจะได้สัมผัสกับ น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ในคลองอัมพวาแห่งนี้ แต่พอพวกเราเดินทางมาถึง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นลำคลองที่จวนเจียนจะแห้งขอด น้ำลด ตอผุด ปลาตีนแหวกว่ายโคลนตมอยู่ไหวๆ เรือลำใหญ่เกยโคลนอยู่ริมตลิ่ง ผมยืนนิ่งมองลำคลองอยู่เงียบๆ คนเดียว คิดหาเหตุผลว่าทำไมน้ำในคลองจึงลดลงขนาดนี้ (วะ) ทั้งๆ ที่ตอนนี้ฝนตกชุก ดูตอนออกจากบ้านมาฝนมันก็ยังทำท่าว่าจะตก ความจริงจะเดินไปถามชาวบ้านดูก็ได้ แต่อยากลองคิดเองดูก่อน “เดี๋ยวตอนเย็นๆ น้ำก็ขึ้นแล้วหนุ่ม ไม่ต้องตกใจ” ยังไม่ทันได้เริ่มคิดเลย คุณลุงแกมาจากไหนไม่รู้ มาตอบคำถามในใจให้เสร็จสรรพเลย

คลองตรงหน้านี้มีชื่อว่า คลองผีหลอก (ชื่อน่ากลัว แต่บรรยากาศดี) เป็นคลองที่เชื่อมกับลำน้ำแม่กลอง -- แม่น้ำสำคัญสายหนึ่งในภาคตะวันตก เกิดจากแม่น้ำแควใหญ่และแควน้อย ไหลมาบรรจบกันที่ตำบลบ้านแพรก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ไหลผ่านจังหวัดราชบุรี สมุทรสงคราม และไหลลงสู่ปากอ่าวไทย มีความยาวประมาณ 132 กิโลเมตร

ดังนั้น เหตุที่น้ำขึ้น-น้ำลง อาจเกิดจากอิทธิพลของน้ำทะเลในแม่น้ำแม่กลอง อะไรทำนองนั้น ผมเดาเอานะ

หลังจากพักเหนื่อย เก็บข้าวของไว้ในบ้านพัก ดื่มน้ำสมุนไพรเย็นๆ ชุ่มใจแล้ว หมวยโหดเอ่ยขึ้นว่า... “เราไปเที่ยวอุทยาน ร.2 แล้วก็ไปดูบ้านแมวไทยกัน”

งั้นเราก็ไปกันเลย...



ออกจากบ้านแมวไทย เลี้ยวซ้ายขึ้นถนนใหญ่ ขับรถ ชมวิว คุยเล่นกันสนุกสนาน เพลิน... จนหารู้ไม่ว่า... พวกเรากำลังหลงทาง หลงทางคันเดียวไม่พอ (มันไม่มันส์) ยังอุตส่าห์บอกเพื่อน (อาร์ทกับแฟน) ที่กำลังตามมาสมทบให้หลงทางไปด้วยอีก หลงเป็นระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร หรืออาจมากกว่านั้น -เวรกรรมจริงๆ


มืดค่ำ, กลับมาถึงที่พัก ทุกคนอยู่ในสภาพหิวซก สังขารน่าเวทนามากๆ และไฮไลต์ของค่ำคืนนี้เรามีนัดลงเรือชมหิ่งห้อยเสียด้วยสิ

ดังนั้น เราไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า จะได้มีแรงไปโรแมนติกกัน...

เราล่องเรือเลียบคลองผีหลอก แวะชมตลาดน้ำยามเย็นของอำเภออัมพวา คงเป็นเพราะตรงกับวันหยุดช่วงสิ้นเดือนพอดี จึงทำให้มีผู้คนมาเดินเที่ยวตลาดกันมากมาย จับจ่าย ซื้อของกันอย่างคึกคัก ส่วนมากจะหนักไปทางนักท่องเที่ยว ทั้งที่เดินอยู่บนฝั่ง และล่องอยู่ในเรือ กระหน่ำถ่ายรูป กดเก็บภาพความทรงจำกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศของตลาดน้ำอัมพวาในยามเย็น ในความรู้สึกของผมมันเหมือนงานเทศกาลประจำปีที่เอาถนนข้าวสารมาผสมกับงานวัดแล้วก็จัดกันอยู่สองข้างคลองนั่นแหละ ดูอบอุ่นและเป็นกันเองดี ตลาดน้ำแห่งนี้จะมีในช่วงยามเย็นที่แดดร่มลมตกเรื่อยไปจนถึงค่ำมืด แต่ไม่ถึงกับดึกดื่น ชาวบ้านจะพายเรือนำสินค้าหลากหลายชนิดมาขายให้นักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นที่เข้ามาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดอัมพวา เช่น อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ข้าวต้ม ขนม ผัก ผลไม้ และบนฝั่งทั้งสองฟากก็มีร้านขายสินค้า ของที่ระลึก และร้านอาหารมากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นได้สัมผัสกับวิถีของชุมชนชาวคลอง ชีวิตริมน้ำ ว่าสวยงาม และน่าประทับใจขนาดไหน...

...จากคลองผีหลอก (เราเห็นผีสไปเดอร์แมนนั่งอยู่บนกิ่งไม้กับเพื่อนผีอีกตัว ชวนขนลุกเล่นดีเหมือนกัน) เรือของเราล่องตัดเข้าสู่ลำน้ำแม่กลอง แล้วค่อยๆ เลาะขนานไปตามริมฝั่งแม่น้ำ หิ่งห้อยตัวน้อยเริ่มปรากฏ วอมแสงกะพริบวิบวับประดับประดาอยู่ตามสุมทุมพุ่มลำพู ดวงตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังลำพูที่เรียงรายอยู่ริมตลิ่ง บางคนบอกว่าเหมือนไฟกะพริบบนต้นมะขามที่สนามหลวง บางคนจินตนาการไปว่า ใต้ต้นลำพูต้องมีปลั๊กไฟแน่ๆ แล้วก็มีคำถามเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยตามมาอีกมากมาย บ้างก็ถามว่าทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสง บ้างก็ว่าทำไมต้องต้นลำพู บ้างก็เล่าว่าหิ่งห้อยคือวิญญาณของชายที่จุดตะเกียงโคมตามหาหญิงคนรักชื่อนางลำพู นางผู้จมหายไปในแม่น้ำ นางลำพูได้ไปเกิดเป็นต้นไม้ชื่อต้นลำพู ส่วนชายหนุ่มกลายเป็นหิ่งห้อยมีแสงที่ก้นเพื่อส่องหานางที่รักไปตลอดกาล (นิทานหิ่งห้อยฉบับไทย)

ความจริงแล้ว หิ่งห้อย เป็นแมลงจำพวกด้วงปีกแข็ง ลำตัวยาวรี เวลากลางวันหิ่งห้อยหลบซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืชในที่ชื้นแฉะ หรือหลบตามกาบไม้ซอกไม้ต่างๆ ในเวลากลางคืนจึงบินออกมาจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ ต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะกะพริบแสง ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่มีใบโปร่ง ในธรรมชาติพบเกาะอยู่ตามต้นลำพู ต้นแสม ต้นโกงกาง ต้นโพทะเล และต้นทิ้งถ่อน รวมทั้งต้นไม้ที่อยู่ตามริมน้ำต่างๆ การอนุรักษ์หิ่งห้อยทำได้โดยการรักษาแม่น้ำ ลำคลอง บึงต่างๆให้สะอาด โดยไม่ทิ้งขยะ หรือสารเคมีลงในแหล่งน้ำ รวมทั้งอนุรักษ์ป่าไม้ เช่น ป่าต้นน้ำ และป่าชายเลนให้อุดมสมบูรณ์ ทำให้หิ่งห้อยสามารถขยายพันธุ์ดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นการเพิ่มความสวยงามให้แก่ธรรมชาติดำรงอยู่ต่อไป...
เสียดายที่เราไม่มีภาพถ่ายหิ่งห้อยในค่ำคืนนั้นมาฝาก ความจริงเพื่อนของเรามีกล้องดิจิตอลราคาแพงอยู่สองตัว คุณภาพดี แต่ผู้เป็นเจ้าของยังเรียนรู้ที่จะใช้งานมันในที่มืดได้ไม่ค่อยดีนัก ราคาของกล้องสองตัวในค่ำคืนนั้นจึงน่าจะดิ่งลงมาอยู่ที่ระดับ 2 ตัว 20 “แพงกว่าปลานิลที่ตลาดบางกะปิเสียอีก” อันอันว่า
พอกลับมาถึงบ้านพักริมคลอง น้ำใสก็ไหลนองเต็มตลิ่งแล้ว หมวยโหดกระโดดลงน้ำแบบไม่คิดชีวิต ตามติดด้วยโน้ต-หนุ่มนักแต่งเพลง และน้องศิ เลขากองบรรณาธิการผู้ว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนอันอัน หล่อนบอกว่าเป็น “ห้องกรงฟู้ด” ลงน้ำไม่ได้ จึงคอยดูแลความปลอดภัย และสอนน้องศิว่ายน้ำอยู่บนฝั่ง ผมถามหาเป็ดตกปลากับพี่เจ้าของบ้านพัก ได้รับคำตอบกลับมาว่าแกเป็นคนไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และแกถือโอกาสนี้แจ้งให้ทราบเลยว่า กรุณาอย่าส่งเสียงดัง เพราะมีคนอาศัยอยู่บ้านข้างๆ เกรงใจเขา และกลุ่มที่มาพักก่อนหน้าเราก็ทำประวัติไม่ค่อยดีเอาไว้ ประมาณว่าพวกเขากินเหล้า ร้องรำทำเพลงกันจนบ้านข้างๆ ไม่เป็นอันหลับอันนอน เข้าใจครับ เดี๋ยวผมปูเสื่อนั่งดูน้องๆ เล่นน้ำก็ได้ เพลินดี
แล้วค่ำคืนที่แสนจะธรรมดาคืนนี้ก็ผ่านพ้นไป...
“เช้านี้เราจะไปดูตลาดรถไฟกัน!” หมวยโหดลุกขึ้นมาประกาศกร้าว ปลุกเพื่อนๆ ตั้งแต่เช้ามืด “เราจะไปดูตลาดรถไฟกั๊นนน (โว้ย-ตื่นซะทีซีวะ)!” อันอันตื่นก่อนเพื่อน แต่แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนต่อ...
ตรื่นน ... โว้ยยย!
วันนี้หมวยโหดนำทีมออกหากินแต่เช้า เราประเดิมมื้อแรกเบาๆ กับเกาเหลา ข้าวเปล่า เจ้าที่ว่ากันว่าอร่อยมากๆ เจ๋งสุดๆ มาที่นี่ต้องกินให้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เราทึ่งไม่แพ้รสชาติก็คือ คนขายสามารถจำรายละเอียดในก๋วยเตี๋ยวและเกาเหลาแต่ละชามที่พวกเราและคนต่างพ่อต่างแม่มานั่งสั่งกิน (และใส่ถุงกลับไปกินที่บ้าน) ได้อย่างแม่นยำ ความจำเป็นเลิศ รู้ว่าชามไหน ของใคร และรู้ว่าในแต่ละชามนั้นผู้เป็นเจ้าของประสงค์ให้มีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้าง โดยไม่ต้องจดใส่กระดาษ มีสมาธิ และมีความจำดีมากๆ เลย ผู้หญิงคนนี้ ช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่างกับอันอันของเราเสียจริงๆ
ไปดูตลาดรถไฟกัน...
ตลาดรถไฟ หรือตลาดร่มหุบ อยู่ใกล้ๆ กับสถานีปลายทาง แม่กลอง แม่ค้าพ่อค้าพากันวางผักสด ปลาสด ผลไม้ และสินค้าหลากหลายชนิด แนบชิดอยู่กับไม้หมอนและเหล็กรางรถไฟ ขายกันจะจะ อยู่ตรงนั้น มันก็แปลกดี เป็นการใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์ สร้างให้เป็นจุดเด่น ทำให้เป็นจุดขาย สร้างรายได้ คงเป็นอะไรทำนองนั้น พอรถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาสถานี บรรดาร่มกันแดดของพ่อค้าแม่ค้าที่เรียงรายอยู่สองข้างรางรถไฟก็พากันหุบหับฟึบฟั่บอย่างพร้อมเพรียง และภาพน่ารักๆ ของคุณยายขายผักที่แกสามารถกะระยะให้สินค้าของแกลอดใต้ท้องรถไฟได้พอดีเป๊ะ ผมเห็นยอดผักบุ้งไหวๆ อยู่ใต้ท้องรถไฟเพียงไม่กี่มิลลิเมตร คนต่างถิ่นอย่างพวกเราและฝรั่งมังค่าก็พากันตื่นเต้นและลุ้นละทึกกันน่าดู พอรถไฟและเสียงระทึกในอกและนอกอกผ่านพ้นไป เราก็ได้เห็นพ่อค้า แม่ค้า และคุณยายค้าส่งยิ้มเป็นกันเองมาให้พวกเราอย่างเอ็นดู (รู้นะว่าคุณยายคิดอะไรอยู่) เป็นธรรมดาที่ผู้มาเยือนอย่างพวกเราย่อมรู้สึกดี ก็บรรยากาศดีๆ อย่างนี้...
หลังจากนั้นพวกเราก็พากัน แห่ ลงเรือ ชมวัด ชมคลองอัมพวา เพลินตาเพลินใจ ไกลไปจนออกสู่แม่น้ำแม่กลอง ทิ้งคลองอัมพวาไว้ข้างหลัง มุ่งหน้าไปยังตลาดน้ำดำเนินสะดวก ใช้เวลาเดินเรือประมาณหนึ่งชั่วโมง ชิมตลาด ชมก๋วยตี๋ยวเรือ ชักรูป ชงเรื่องกับบรรดาแม่ค้าพายเรือ เสร็จสรรพ ขากลับเราล่องเรือไปตามลำคลองเลี้ยวลดคดเคี้ยว ดูวิถีชิวิตริมคลอง และบ้านเก่าแก่อายุนับร้อยปี น้ำในลำคลองยังใส ชาวบ้านใช้อาบ และเด็กๆ ได้กระโดดน้ำเล่นกัน และเราก็ได้เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง “คนที่อื่นเรียกว่ายังไงผมไม่รู้ รู้แต่ว่าคนแแถวนี้เขาเรียก มังกรทอง” คนขับเรือกล่าวถึงสัตว์ที่ว่ายน้ำอยู่ริมคลองตัวนั้น พวกเราต่างก็จ้องมองมัน แล้วหันมาจ้องมองกัน “เหี้ย” คนกรุงเทพฯเขาชอบเรียกกันอย่างนี้ ผมบอกคนขับเรือในใจ...
ขากลับเราแวะวัดบางกุ้ง ดูโบสถ์ปรกโพธิ์ และกลับมาถึงบ้านพักริมคลองอย่างปลอดภัย (และอ่อนล้า) อาบน้ำ นอนหลับพักผ่อน เพื่อที่ว่าตื่นขึ้นมาเราจะได้เดินไปเที่ยวตลาดน้ำยามเย็น ส่งท้าย บ๊ายบายอัมพวา และเดินทางกลับกัน...
อัมพวา เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก โดยเฉพาะชุมชนที่เรียงรายอยู่สองฝั่งคลอง แม้ว่าจะเป็นการมาเยือนเพียงหนึ่งคืนสองวัน แต่นั่นก็ทำให้เราได้สัมผัสถึง ‘น้ำคลองที่ใส’ ที่ชุมชนชาวคลองแห่งนี้เขารักษาไว้ให้อยู่คู่กับ ‘น้ำใจที่จริง’ ผมรู้สึกอย่างนั้น...

คงต้อง (ยอม) ยกความดีความชอบครั้งนี้ให้ หมวยโหด กับ อันอัน ที่นำพาพวกเรามาพบเจอสิ่งดีๆ (ซะที)